วันอังคารที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เครือข่ายคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร

แนวโน้มเทคโนโลยีสารสนเทศของการสื่อสารในอนาคต

               การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ มีแนวโน้มที่จะพัฒนาคอมพิวเตอร์ให้มีความสามารถใกล้เคียงกับมนุษย์ เช่น การเข้าภาษาสื่อสารของมนุษย์ โครงข่ายประสาทเทียม ระบบจำลอง ระบบเสมือนจริง โดยพยายามนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น ข้อผิดพลาดและป้องกันไม่ให้นำไปใช้ในทางที่ถูกต้อง หรือไม่ผิดกฎหมาย
                แนวโน้มเทคโนโลยีสารสนเทศของการสื่อสารในอนาคต ด้สนการสื่อสารได้มีการพัฒนาจากโทรศัพท์ธรรมดาให้กลายเป็นโทรศัพท์สมาร์ทโฟนมีอุปกรณ์เสริมช่วยในการแสดงผลภาพแบบ 3 มิติ ผ่านกล่องหน้าได้ ภาพที่ถูกสร้างขึ้นนั้นจะเป็นภาพ 3 มิติ ลักษณะการใช้งานของสมาร์ทโฟนเครื่องนี้ใช้ระบบสายตาในการสั่งงาน ผ่านเลเซอร์ที่กล้อง คือ การเลือกซื้อสินค้าที่เราสนใจ สามารถใช้โทรศัพท์ถ่ายภาพออกมาเป็นภาพ 3 มิติ เมื่อรูปภาพมาอยู่ในโทรศัพท์ เราสามารถใช้นิ้วในการจับต้อง หมุนดูสินค้า ปรับเปลี่ยนสีของตัวสินค้าตามความต้องการ
                ในสังคมสารสนเทศเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก คนในสังคมมีการปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง คนทุกระดับอายุเกือบทุกอาชีพ มีความต้องการสารสนเทศการติดต่อสื่อสารอยู่ตลอดเวลาทั้งทางตรงและทางอ้อม สังคมสารสนเทศของการติดต่อสื่อสารจึงควรเตรียมความพร้อมในการปรับตัว เพื่อให้สามารถนำเทคโนโลยีสารสนเทศการติดต่อสื่อสารมาเป็นเครื่องมือช่วยอำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการศึกษากาความรู้ การประกอบธุรกิจ การบริหารจัดการ การพักผ่อนและบันเทิง รวมทั้งการสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับชีวิตของตนเอง
                

เทคโนโลยีในอนาคต

แอร์บัสนำเสนอเครื่องบินและห้องโดยสารแห่งอนาคต
            การออกแบบภายในอย่างอัจฉริยะมาแทนที่ระบบการบินในรูปแบบเดิม ผู้นำทางด้านการผลิตเครื่องบินได้เปิดตัวเครื่องบินแห่งอนาคตที่ผู้โดยสารใน ค.ศ. 2050 จะได้ร่วมพิสูจน์สัมผัสกับประสบการณ์ทางการบินรูปแบบใหม่ โดยทั้งหมดนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติ
สำหรับเครื่องบินแห่งอนาคตนี้ได้มีการนำเอาโซนส่วนตัวเข้ามาแทนที่ระดับชั้นต่างๆที่มีอยู่แต่เดิม เพื่อมอบประสบการณ์ทางการบินที่เหนือระดับมากยิ่งขึ้น และในขณะที่เดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง บรรดาผู้โดยสารในค.ศ. 2050 จะมีพื้นที่เพื่อพบปะทางสังคม ไม่ว่าจะเป็น เพลิดเพลินไปกับการเล่นเกมกอล์ฟเสมือนจริง หรือจัดประชุมแบบอินเตอร์แอ็คทีฟได้ และยังสามารถอ่านนิทานก่อนนอนให้ลูกๆ ซึ่งอยู่ที่บ้านฟัง ในขณะเดินทางผู้โดยสารสามารถเพลิดเพลินไปกับการชมวิวทิวทัศน์ภายนอก


เครื่องบินแห่งอนาคตของแอร์บัส
โดยเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่ทางแอร์บัส ตั้งเป้าให้บริการภายในค.ศ. 2050 สืบเนื่องมาจากในปีที่ผ่านมาได้มีการเปิดเผยถึงการปฏิวิติเครื่องบินแห่งอนาคตของแอร์บัส ที่จะประกอบไปด้วยเทคโนโลยีหลายอย่าง ซึ่งจะช่วยลดการเผาไหม้ของเชื้อเพลิง ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก, ขยะและเสียง โดยเครื่องบินแห่งอนาคตนี้ได้เข้าถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ ที่จะเป็นประสบการณ์ทางการบินในอนาคตให้กับผู้โดยสาร
ในส่วนของโครงสร้างได้เลียนแบบมาจากประสิทธิภาพกระดูกของนกที่จะทำให้เพิ่มพละกำลังได้มากขึ้นเมื่อต้องการ และยังมีผนังอัจฉริยะที่สามารถควบคุมอุณหภูมิอากาศอัตโนมัติ และทำให้ผู้โดยสานมองเห็นโลกภายนอกได้ทั้งกลางวันและกลางคืนในรูปแบบพาโนรามิค




ภายในห้องโดยสารของเครื่องบินแห่งอนาคตของแอร์บัส
เครื่องบินแห่งอนาคตนี้ได้ผสมผสาน เครือข่ายเส้นประสาทเพื่อสร้างความอัจฉริยะระหว่างผู้โดยสารและเครื่องบิน โดยเทคโนโลยีนี้สามารถวิเคราะห์และตอบสนองตามความต้องการของผู้โดยสาร ยกตัวอย่างเช่น ที่นั่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงตามสรีระร่างกายของผู้โดยสาร ภายในห้องโดยสารยังจัดโซนสำหรับพักผ่อนที่พร้อมด้วยวิตามิน อากาศที่มีสานต้านอนุมูลอิสระ, แสงเพื่อสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย ในขณะที่เพลิดเพลินไปกับการชมวิวทิวทัศน์ภายนอก ยังมีการบำบัดด้วยกลิ่นหอมอโรมาเธราพีและการนวดกดจุดอีกด้วย
ในโซนตรงกลางของห้องโดยสารมีพื้นที่เพื่อพบปะทางสังคม ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นการฉายภาพป๊อปอัพเสมือนจริงที่จะเปลี่ยนแปลงตามรูปแบบความบันเทิงที่คุณต้องการ จากเกมส์สามมิติ(Holographic  Gaming) ไปสู่ห้องรองเสื้อผ้าเสมือนจริงสำหรับบรรดานักช๊อปทั้งหลาย


วิวกลางคืนจากภายในห้องโดยสารเครื่องบินแห่งอนาคตของแอร์บัส
ทั้งนี้ ในโซนเทคโนโลยีอัจฉริยะมาพร้อมกับฟังค์ชั่นมากมายที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของผู้โดยสาร เพื่อเป็นไปตามความต้องการของแต่ละบุคคลการบริการจะปรับเปลี่ยนตั้งแต่การบริการพื้นฐานไปสู่การบริการในรูปแบบที่หรูหรา และผู้โดยสารก็ยังสามารถใช้ชีวิตเช่นเดียวกับอยู่บนภาคพื้นดิน ด้วยการมอบประสบการณ์ที่เหลือระดับในแต่ละโซน สายการบินสามารถกำหนดราคาให้มีความแตกต่างกัน รวมถึงทำให้ผู้โดยสารสามารถได้รับประโยชน์จากการเดินทางทางอากาศด้วยผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมเพียงน้อยนิด
เรียกเสียงฮือฮาได้อีกครั้งหลังจาก มร.ชาร์ลส แชมเปียน รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายวิศวกรรมของแอร์บัส กล่าวในการเผยโฉมนวัตกรรมการออกแบบภายในของเครื่องบินแห่งอนาคตนี้ว่า จากที่เราได้มีการทำแบบสอบถามพบว่าผู้โดยสารในค.ศ. 2050 ต้องให้ประสบการณ์การบินของเขาเป็นอย่างแนบเนียนในขณะที่ต้องมีการรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย สำหรับเครื่องบินแห่งอนาคตนี้ทางแอร์บัสได้ออกแบบให้ตรงตามความต้องการเหล่านั้น อีกทั้งยังแสดงให้เห็นการท่องเที่ยวเป็นได้มากกว่าการเดินทางเพียงให้ไปถึงยังจุดหมายปลายทาง และไม่ว่าจะเลือกเทียวบินใดก็ตาม บรรดาผู้โดยสารในค.ศ. 2050 จะได้สัมผัสกับเครื่องบินแห่งอนาคตนี้


มุมมองภายนอกเครื่องบินแห่งอนาคตของแอร์บัส 2050
มากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของการทำรีเซิร์ซ & การพัฒนาประจำปีของแอร์บัสได้ลงทุนมากกว่า 2 พันล้านยูโรไปกับการพัฒนาประโยชน์ทางด้านสิ่งแวดล้อมในเครื่องบินทั้งปัจจุบันและอนาคต ยกตัวอย่างเช่น ห้องโดยสารแห่งอนาคตจะทำมาจากวัสดุที่ได้มาจากการรีไซเคิล 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะมีวัสดุที่สามารถทำความสะอาดได้ด้วยตัวมันเองที่ทำมาจากไฟเบอร์ในพืช ที่จะไม่ให้สิ้นเปลืองและมีความคงทน รวมถึงยังสามารถได้พลังงานความร้อนจากความในร่างกายผู้โดยสารอีกด้วย
ซึ่งเทคโนโลยีที่ว่ามาในขณะนี้ได้เริ่มมีการพัฒนา ถึงแม้จะยังไม่คล้ายคลึงกับตัวเครื่องบินและห้องโดยสารแห่งอนาคต และบางส่วนก็สามารถเพิ่มเติมในอนาคตในโปรแกรมเครื่องบินของแอร์บัส





เทคโนโลยีสารสนเทศ

แนวทางการจัดการความรู้ของมสธ.
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช อาจจัดการความรู้ได้ 2 แนวทาง

        1. หน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวกับงานด้านวิชาการ อาจจะจัดการความรู้ในลักษณะ คลังความรู้ โดยการสร้าง จัดหา และนำความรู้ขององค์กรมาจัดเก็บให้เป็นระบบสะดวกแก่การสืบค้น และนำไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน เพื่อยกระดับ ปรับปรุง และพัฒนาการดำเนินงานขององค์กรให้สามารถอยู่รอดและแข่งขันได้
        2. หน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวกับงานด้านปฏิบัติการ หน่วยงานที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการให้บริการงานต่างๆอาจจะจัดการความรู้ที่จำเป็นแก่หน่วยงาน โดยวิเคราะห์กระบวนการทำงานตามภารกิจแล้วร่วมมือกันดำเนินการจัดการความรู้ เพื่อให้ได้มาซึ่งวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ หรือได้ฐานข้อมูลที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงาน นำไปสู่การปรับใช้ในองค์กรเพื่อช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จตามเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ 

การพัฒนาความรู้




องค์ประกอบสำคัญในการสร้างระบบ KM

คน แหล่งความรู้ และเป็นผู้นำความรู้ไปใช้
เทคโนโลยี มีเครื่องมือ ช่วยเก็บ ช่วยในการค้นหา แลกเปลี่ยน นำความรู้ไปใช้ได้โดยง่าย
กระบวนการความรู้ เป็นการนำความรู้จากแหล่งความรู้ต่างๆ จากผู้ใช้ เพื่อปรับปรุง เชื่อมโยง ต่อยอดเปลี่ยนแปลง หรือเกิดความรู้ใหม่

ข้อเสนอแนะขั้นตอนของการจัดการความรู้ ( KM )

1.   ระดมสมอง ระบุอุปสรรคการทำงาน/ความผิดพลาดในงาน/ความไม่คล่องตัวของกระบวนการทำงานแล้วทำการวิเคราะห์
สาเหตุร่วมกัน
* ต้องเป็นเรื่องที่เราสามารถแก้ปัญหาได้ มองเห็นความสำเร็จ ถ้าได้ทำร่วมกัน ทำแล้วส่งผลต่อการพัฒนางานในหน่วยงาน*
2.   กำหนดเป็นขอบเขต KM ที่จะทำ ( กระบวนการทำงานใดที่ควรทำ KM )
3.   กำหนดเป้าหมายในการทำ KM ( โดยเริ่มจากจุดเล็กๆ )
4.   จัดทำแผน ( กำหนดว่าใคร ต้องทำอะไร เสร็จเมื่อไร ผลที่ได้คืออะไร )
5.   ดำเนินการตามแผน
6.   ทดลองใช้ แก้ไขปรับปรุง
7.   ตกลงร่วมกันนำสิ่งที่คิดค้นมาใช้ในงานตามปกติ
8.   ประเมินผล
9.   ปรับปรุง
10.  อาจจัดทำเป็นคู่มือ หรือ ฐานความรู้


        แนวทางการจัดการความรู้ของหน่วยงาน

1.  หน่วยงานกำหนดสิ่งสำคัญ ที่หน่วยงานต้องทำให้สำเร็จตามวิสัยทัศน์ของหน่วยงาน แล้วจัดลำดับ
2.  สำรวจและวิเคราะห์ความชำนาญของบุคลากรในหน่วยงานเพื่อสร้างความรู้ โดยมุ่งเน้นความรู้ที่มีความสำคัญต่อการดำเนินงาน
ของหน่วยงานตามวิสัยทัศน์
3.  การนำความรู้มาถ่ายทอดเพื่อใช้ในการปฏิบัติงาน จนเกิดเป็นทักษะ ความชำนาญของตนเองส่งผให้งานมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
4.   การวัดประเมินผล เป็นการวัดความคืบหน้าการดำเนินงานเป็นไปตามที่คาดไว้หรือไม่ ส่งผลกระทบต่อวิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัย
อย่างไรบ้าง


ขบวนการจัดการความรู้ของหน่วยงาน

1.  ค้นหาความรู้ ความรู้มีอยู่ที่ใครบ้าง ความรู้อะไรที่มีความจำเป็นต้องใช้
2.  รวบรวมและจัดทำเนื้อหาให้เหมาะสมกับผู้ใช้ ถ้าไม่มีต้องสร้าง และควรกำจัดความรู้ที่ล้าสมัย ไม่จำเป็น 
เพื่อลดความสิ้นเปลืองในการจัดเก็บ
3.  วางระบบการจัดเก็บ ให้สามารถค้นคว้าได้ง่าย รวดเร็ว เหมาะสมกับกลุ่มผู้ใช้งาน
4.  จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เช่น จัดตั้งชุมนุมนักปฏิบัติ จัดเวทีแลกเปลี่ยน
5.  หน่วยงานดำเนินการกระตุ้น การเรียนรู้ของบุคลากรในการนำความรู้ไปใช้ในการทำงานเพื่อปรับปรุง
หน่วยงาน โดยจากการแสดงผลงานที่ได้นำความรู้ไปใช้
6.  การวัดประเมินผล

แนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมการจัดการความรู้ระดับมหาวิทยาลัย
1.  จัดกิจกรรมเผยแพร่ความรู้ ให้บุคลากรของมหาวิทยาลัย จำนวน 1 ครั้ง
2.  จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ หน่วยงานนำร่อง จำนวน 11 หน่วยงาน
3.   เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการจัดการความรู้ ใน Web KM
4.   รณรงค์ให้บุคลากรสมัครเป็นสมาชิกเครือข่ายการจัดการความรู้ผ่าน Web KM
5.   จัดทำช่องทางแสดงความคิดเห็นผ่าน Web KM
6.   จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้บุคลากรภายใน
7.   จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับหน่วยงานภายนอกเกี่ยวกับการจัดการความรู้
8.   จัดประกวด Logo และคำขวัญการจัดการความรู้ของมหาวิทยาลัย
9.   จัดทำตัวชี้วัด ความคืบหน้าในการดำเนินงาน (ความสำเร็จโครงการโดยรวม)
10.  จัดวางระบบการยกย่อง ชมเชย
11.  จัดวางระบบติดตามประเมินผล การจัดการความรู้ของมหาวิทยาลัย
12.  ดำเนินการวางรูปแบบการจัดทำแผนการจัดการความรู้ ปี 2550
13.  จัดประชุมคณะกรรมการนโยบาย การจัดการความรู้ ระดับมหาวิทยาลัย
14.  จัดประชุมคณะกรรมการ จัดการความรู้ ระดับมหาวิทยาลัยดำเนินการทบทวนยุทธศาสตร์
 การจัดการความรู้

เราใช้  เทคโนโลยี มาจัดการกับ KM คือ
      1.  การเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการจัดการความรู้ใน Web KM
      2.  รณรงค์ให้บุคลากรสมัครเป็นสมาชิกเครือข่ายการจัดการความรู้ผ่าน Web KM
      3.  จัดทำช่องทางแสดงความคิดเห็นผ่าน Web KM





ความรู้พื้นฐานของนวัตกรรม

นวัตกรรม  

        ภาณุ ลิมมานนท์(2549,น. 17)ความหมาย การสร้างนวัตกรรมใหม่นั้น คือการเริ่มมีความคิดใหม่ๆ แต่วิธีการที่จะสร้างสรรค์ความคิดใหม่นั้น จำเป็นต้องมีวิธีการคิดโดยอาศัยความรู้ ประสบการณ์ ความเชี่ยงชาญ และทักษะความชำนาญเข้ามามีส่วนผสมด้วยแต่อย่างไรก็ตาม ถ้าขาดเวทีและโอกาสที่จะได้ทำ สิ่งที่กลับมาก็เป็นแค่แนวความคิดใหม่ๆ

นวัตกรรมทางด้านการแพทย์ The evolution of medical

ก้าวใหม่ของการรักษาโรคทางนรีเวช:การผ่าตัดแบบไร้แผล
ผศ.นพ.ชัยเลิศพงษ์นริศร
  


ในอดีต นรีเแพทย์ทำการผ่าตัดที่อวัยวะใดๆในช่องท้องและอุ้งเชิงกราน โดยผ่าเปิดแผลจากผิวหนังบริเวณหน้าท้องเข้าไปจนถึงอวัยวะที่ต้องการผ่าตัดนั้นโดยตรง แต่วงการแพทย์ในยุคปัจจุบันนี้ มีการพัฒนาการผ่าตัดอวัยวะในช่องท้องและอุ้งเชิงกรานโดยการเจาะเป็นรูขนาดเล็กๆ ที่ผนังหน้าท้องเพื่อสอดใส่กล้องและเครื่องมือผ่าตัดลงไปทำการผ่าตัด เรียกว่า การผ่าตัดผ่านกล้องส่องช่องท้อง หรือที่รู้จักกันแพร่หลายและเรียกสั้นๆว่า การผ่าตัดผ่านกล้องฯ

การผ่าตัดผ่านกล้องฯ จัดเป็นการผ่าตัดยุคใหม่ที่รุกล้ำน้อย (minimally invasive surgery) ซึ่งมีหลักสำคัญ คือแผลขนาดเล็ก เจ็บปวดน้อย หายเร็ว และสวยงาม แต่ยังคงมีประสิทธิภาพเฉกเช่นเดียวกับการผ่าตัดผ่านแผลหน้าท้องขนาดใหญ่แบบดั้งเดิม โดยทั่วไป การผ่าตัดผ่านกล้องฯ จำเป็นต้องมีแผลบนผนังหน้าท้องขนาดเล็กๆยาว 0.5-1.0 ซม จำนวน 3-5 แผล (ขึ้นกับชนิดของการผ่าตัด) เพื่อใช้เป็นทางผ่านเข้าไปของเครื่องมือผ่าตัดและกล้องส่องช่องท้องที่เรียกว่า  แลปพาโรสโคป  ซึ่งต่อเชื่อมกับเครื่องรับสัญณาณเพื่อแสดงผลที่หน้าจอภาพ ทำให้แพทย์สามารถมองเห็นอวัยวะภายในช่องท้อง  อุ้งเชิงกราน  และควบคุมการผ่าตัดจากภายนอกช่องท้องได้ ผ่านทางเครื่องมือที่สอดผ่านแผลบริเวณหน้าท้องเข้าไป
ในปัจจุบัน การผ่าตัดผ่านกล้องได้พัฒนายิ่งขึ้นไปอีก โดยการผ่าตัดผ่านกล้องฯสามารถทำผ่านแผลเพียงแผลเดียวที่สะดือ ซึ่งเมื่อแผลหายแล้ว จะมองไม่เห็นบาดแผล เพราะว่ารอยแผลซ่อนอยู่ในรอยบุ๋มของสะดือ จึงอาจเรียกการผ่าตัดนี้ว่า การผ่าตัดแบบไร้แผล (scarless surgery)

การผ่าตัดผ่านกล้องแผลเดียวแตกต่างจากการผ่าตัดผ่านกล้องทั่วไปอย่างไร
                การผ่าตัดผ่านกล้องแผลเดียว คือ วิธีการผ่าตัดผ่านกล้องแบบใหม่ ที่พัฒนามาจากแบบเดิมซึ่งมีแผลผ่าตัดเล็กๆที่หน้าท้อง 3-4 แผล มาเป็นแบบมีแผลเดียว ในทางนรีเวชวิทยามักผ่าตัดผ่านแผลที่ตำแหน่งสะดือยาวประมาณ 2-3 ซม. เพราะแผลจะซ่อนอยู่ในรอยบุ๋มของสะดือ  จึงอาจเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าการผ่าตัดแบบไร้แผล


ความเป็นมาของการผ่าตัดผ่านกล้องแผลเดียวที่ ศูนย์ศรีพัฒน์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 

                การผ่าตัดในช่องท้องดั้งเดิมทำผ่านทางแผลเปิดหน้าท้องขนาดใหญ่  หลงเหลือรอยแผลเป็นมองดูคล้ายตัวตะขาบอยู่บริเวณหน้าท้อง  ในระยะ 20 ปีที่ผ่านมานี้การผ่าตัดผ่านกล้องได้รับการยอมรับและนำมาใช้ผ่าตัดทดแทนการผ่าตัดแบบดั้งเดิมได้แทบทุกชนิดอย่างแพร่หลาย  โดยมีข้อดีคือแผลผ่าตัดเล็ก  สวยงาม  เสียเลือดน้อย  ระยะพักฟื้นสั้น  สามารถกลับไปทำงานได้เร็วกว่าแบบเดิม  อย่างไรก็ตาม  ยังคงมีแผลผ่าตัดเล็กๆ ขนาด 0.5-1 ซม ที่บริเวณผิวหนังหน้าท้อง 3-4 แผล ในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมาการพัฒนาทางด้านการผ่าตัดผ่านกล้องมีความก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง   สามารถทำการผ่าตัดผ่านกล้องแผลเดียว  มีการพัฒนาเครื่องมือผ่าตัดและวัสดุทางการแพทย์ที่ใช้ช่วยในการผ่าตัดผ่านกล้องแบบแผลเดียวนี้ง่ายมากขึ้นหลากหลายชนิด  อาจกล่าวได้ว่า  การผ่าตัดผ่านกล้องแผลเดียวนี้เป็นการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการผ่าตัดผ่านกล้องซึ่งมีการพัฒนาการตลอดเวลาอย่างรวดเร็ว และต่อเนื่อง


ศูนย์ศรีพัฒน์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  ตึกศรีพัฒน์ ได้เปิดให้บริการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวชแบบแผลเดียวนี้มาตั้งแต่ พ.ศ. 2552 โดย ผศ. นพ. ชัยเลิศ พงษ์นริศร อาจารย์หน่วยผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช และหน่วยมะเร็งนรีเวชวิทยา ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา  คณะแพทยศาสตร์  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  ซึ่งมีประสบการณ์ผ่าตัดผ่านกล้องฯทางนรีเวชในผู้ป่วยโรคทางนรีเวชมาเป็นจำนวนมากทั้งในโรคมะเร็งและไม่ใช่มะเร็ง และเป็นผู้ริเริ่มและศึกษาพัฒนาเทคนิคการผ่าตัดผ่านกล้องฯแผลเดียวทางนรีเวช ตลอดจนมีการศึกษาวิจัยทางด้านนี้จนมีผลงานตีพิมพ์ทางวิชาการในระดับนานาชาติ

ข้อดีของการผ่าตัดผ่านกล้องแผลเดียวมีอะไรบ้าง
                นอกจากมีข้อดีของการผ่าตัดผ่านกล้องแบบทั่วไป  ได้แก่ แผลผ่าตัดเล็ก สวยงาม เสียเลือดน้อย เจ็บแผลน้อย ระยะพักฟื้นสั้นแล้ว ในการผ่าตัดผ่านกล้องแผลเดียวนั้น  โดยทางทฤษฎีการที่มีแผลผ่าตัดเพียงแผลเดียวย่อมก่อให้เกิดความเจ็บปวดหลังผ่าตัดน้อยลงไปอีก โอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนที่แผลย่อมลดลงตามไปด้วย  นอกจากนี้แผลเป็นที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดมีน้อยเพระซ่อนอยู่ในรอยบุ๋มของสะดือ  ทำให้มองไม่เห็น  มีความสวยงามยิ่งกว่า  เมื่อเทียบกับการผ่าตัดผ่านกล้องแบบทั่วๆไปซึ่งมีแผลที่หน้าท้อง 3-4 แผล

ข้อจำกัดของการผ่าตัดผ่านกล้องแผลเดียวมีอะไรบ้าง
                ในทางเทคนิคการผ่าตัดผ่านกล้องแผลเดียวยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง เมื่อเทียบกับการผ่าตัดผ่านกล้องทั่วไป เนื่องจากมีแผลเดียว การผ่าตัดจึงยากกว่าการผ่าตัดผ่านกล้องแบบทั่วไปอยู่บ้าง จึงต้องอาศัยทักษะความชำนาญของแพทย์ผู้ผ่าตัดที่มีประสบการณ์ผ่าตัดผ่านกล้องที่มากพอ และได้รับการฝึกอบรมมาอย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีเครื่องมือผ่าตัดใหม่ๆที่ผลิตออกมาช่วยอำนวยความสะดวก ทำให้การผ่าตัดง่ายขึ้น

ค่าใช้จ่ายของการผ่าตัดผ่านกล้องแผลเดียวเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับการผ่าตัดแบบดั้งเดิม
                โดยทั่วไปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสำหรับการผ่าตัดผ่านกล้องฯแบบทั่วไป (หลายแผล) จะสูงกว่าการผ่าตัดชนิดเดียวกัน แต่ทำผ่านแผลหน้าท้องประมาณสองเท่า เพราะว่ามีใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ผ่าตัดที่ทันสมัยและมีเทคโนโลยีสูงกว่ามาก สำหรับการผ่าตัดผ่านกล้องฯแบบแผลเดียว จะมีค่าใช้ที่เพิ่มขึ้นกว่าการผ่าตัดผ่านกล้องฯแบบทั่วไปอีกประมาณสองถึงสามหมื่นบาท ขึ้นกับอุปกรณ์การผ่าตัดที่ใช้ในการผ่าตัด

รูปแบบของการจัดการความรู้

รูปแบบของการจัดการความรู้
              
                รูปแบบการจัดการความรู้ (Knowledge Management Model) คือ การอธิบายถึงปัจจัยองค์ประกอบ และกระบวนการของการจัดการความรู้ ทั้งนี้รูปแบบการจัดการความรู้ไม่มีรูปแบบที่แน่นนอนตายตัว ไม่มีผิดหรือถูก ขึ้นอยู่กับมิติของการตีความ รวมถึงบริบทและสภาพแวดล้อมทางด้านสังคมด้วย การนำรูปแบบการจัดการความรู้ที่ประสบความสำเร็จ ขององค์กรอื่นมาใช้ในกระบวนการจัดการความรู้ขององค์กรตนเอง มิได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จในการจัดการความรู้เสมอไป การศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบการจัดการความรู้ เป็นส่วนที่มีความสำคัญในการที่จะเข้าถึงองค์ประกอบ และกระบวนการจัดการความรู้ในด้านอื่นๆ เพื่อนำสิ่งที่ดีขององค์กรอื่นมาเป็นแนวทางในการพัฒนารูปแบบของการจัดการความรู้ ที่มีความเหมาะสมสำหรับองค์กรของตน

รูปแบบของการจัดการความรู้ ของกลุ่ม Be in unity
                1. การหาแหล่งความรู้
                2. การเรียนรู้
                3. การจัดการความรู้
                4. กลั่นกรองความรู้
                5. กระบวนการและเครื่องมือ
                6. การสื่อสาร
                7. การจัดการเปลี่ยนแปลงและพฤติกรรม
                8. การนำความรู้ไปใช้
                9. การปรับปรุงความรู้
                10. การจัดและประเมินผล
                11. การเก็บรักษาความรู้
                12. การยกย่องชมเชยและให้รางวัล


 รูปแบบการจัดการความรู้ของกลุ่ม Be in unity ประกอบด้วยกระบวนการดังนี้
 กระบวนการของการจัดการความรู้
1. การหาแหล่งความรู้  หมายถึง  การค้นหาจากแหล่งความรู้ที่จำเป็นสำหรับการปฏิบัติงานโดยดำเนินการวิเคราะห์ถึงแหล่งความรู้ที่องค์กรจำเป็นต้องมี  และที่มีอยู่เหล่านั้นจะมาจากที่ใดบ้าง  เช่น  ผู้เชี่ยวชาญทั้งภายในและภายนอกองค์กร  ฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิคส์  ห้องสมุด  งานวิจัย  เอกสาร ตำรา จุลสาร  วารสารเป็นต้น  ยกตัวอย่างเช่น  การจัดทำทำเนียบผู้เชี่ยวชาญขององค์กร  โดยการระบุรายชื่อของผู้รู้และผู้เชี่ยวชาญที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กรว่ามีใครบ้าง ซึ่งอาจจะมาจากทั้งภายในและภายนอกองค์กร  เพราะการมีรายชื่อ และเบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อ ทั้งนี้เพื่อให้บุคลากรภายในองค์กรสามารถติดต่อ  สอบถามหรือปรึกษาปัญหาการทำงานได้อย่างสะดวก   เพราะการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิผล คือ การลดค่าใช้จ่าย  การลดเวลาการทำงานให้น้อยลง  ดังนั้นเมื่อผู้ปฏิบัติงานประสบปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้แต่มีรายชื่อผู้รู้และผู้เชี่ยวชาญในเรื่องดังกล่าวก็จะทำให้การทำงานเกิดความสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น  เช่น รายชื่อผู้เชี่ยวชาญด้านวิจัยเชิงคุณภาพของมหาวิทยาลัยมีใครบ้าง  เบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้สะดวก  และช่องทางในการติดต่อที่สามารถสื่อสารระหว่างกันตามความเหมาะสมขององค์กร  อาจจะเป็นจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) เป็นต้น

2. การเรียนรู้ (Learning) หมายถึง การได้รับความรู้ พฤติกรรม ทักษะ คุณค่า หรือความพึงใจ ที่เป็นสิ่งแปลกใหม่หรือปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่ การเรียนรู้ของมนุษย์อาจเกิดขึ้นจากส่วนหนึ่งของการศึกษา การพัฒนาส่วนบุคคล การเรียนการสอน หรือการฝึกฝน เป็นการเตรียมความพร้อม สร้างความเข้าใจ เพื่อให้บุคลากรตระหนักถึงความสำคัญในการจัดการความรู้ รวมถึงจัดการฝึกอบรมที่เหมาะสมให้กับบุคลากร

3. การจัดการความรู้(Knowledge Management) หมายถึง กระบวนการอย่างมีระบบเกี่ยวกับการประมวลข้อมูล สารสนเทศ ความคิด การกระทำ ตลอดจนประสบการณ์ของบุคคลเพื่อสร้างเป็นความรู้หรือนวัตกรรม และจัดเก็บในลักษณะของแหล่งข้อมูลที่บุคคลสามารถเข้าถึงได้โดยอาศัยช่องทางต่าง ๆ ที่องค์กรจัดเตรียมไว้ เพื่อนำความรู้ที่มีอยู่ไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน ซึ่งก่อให้เกิดการแบ่งปันและถ่ายโอนความรู้ และในที่สุดความรู้ที่มีอยู่จะแพร่กระจายและไหลเวียนทั่วทั้งองค์กรอย่างสมดุล เป็นไปเพื่อเพิ่มความสามารถในการพัฒนาผลผลิตและองค์กร

4. การประมวลและกลั่นกรองความรู้ (Knowledge Codification and Refinement) คือ การสร้างความมั่นใจว่าความรู้ที่ได้มีการรวบรวมและจัดเก็บเป็นความรู้ที่ถูกต้อง ทันสมัยและเป็นประโยชน์ต่อการนําไปใช้ หรือประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานได้จริง ในการจัดทําคู่มือต่างๆ จึงกําหนดให้มีการแต่งตั้งคณะทํางานซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ หรือผู้ที่มีประสบการณ์สูงในองค์ความรู้นั้นๆ ได้ตรวจสอบ กลั่นกรองความรู้และปรับแก้ไขให้ถูกต้องเสียก่อนจึงจะนําองค์ความรู้ดังกล่าวไปเผยแพร่ทางสื่อต่างๆ 

5. กระบวนการและเครื่องมือ ( Process and Tool) เป็นกระบวนการที่จะช่วยให้เกิดพัฒนาการของความรู้ หรือการจัดการความรู้ที่จะเกิดขึ้นภายในองค์กร เช่น ช่วยให้การค้นหา เข้าถึง ถ่ายทอด และแลกเปลี่ยนความรู้สะดวกรวดเร็วขึ้น โดยการเลือกใช้กระบวนการและเครื่องมือที่ขึ้นอยู่กับชนิดของความรู้, ลักษณะขององค์กร (ขนาด,  สถานที่ตั้ง ฯลฯ), ลักษณะการทำงาน, วัฒนธรรมองค์กร, ทรัพยากร เป็นต้น

6. การสื่อสาร (Communication) คือ กระบวนการสำหรับแลกเปลี่ยนสาร รูปแบบอย่างง่ายของสาร คือ จะต้องส่งจากผู้ส่งสารหรืออุปกรณ์เข้ารหัส ไปยังผู้รับสารหรืออุปกรณ์ถอดรหัส อาจอยู่ในรูปแบบของท่าทางสัญลักษณ์ บ้างอย่างอยู่ในรูปแบบของภาษา การสื่อสารเกิดจากความต้องการที่คนจะส่งข้อมูลหากัน

7. การจัดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม (Transition and Behavior Management) การจัดการความรู้ที่มีประสิทธิภาพเริ่มต้นจากการที่คนใน องค์กรมีการแลกเปลี่ยนและแบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกัน การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้ความเชื่อและพฤติกรรมที่องค์กรต้องการให้เกิดขึ้นสามารถ ซึมลึกเข้าไปในบรรทัดฐานและค่านิยมของคนในองค์กรจนกลายเป็น วัฒนธรรม องค์กรควรทำการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยเน้นในเรื่องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนในองค์กรให้มี การแลกเปลี่ยนความรู้โดยการส่งเสริมและสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนในองค์กรควรเริ่มต้นจากผู้บริหาร แล้วจึงขยายผลไปสู่บุคลากรทุกระดับ
8. การนำความรู้ไปใช้ (Knowledge Reuse) คุณค่าของความรู้อยู่ที่การนำไปใช้ ความรู้คือสิ่งที่สั่งสมมาจากการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้าหรือประสบการณ์รวมทั้งความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะความเข้าใจ จากประสบการณ์ที่ได้ยิน ได้เห็นและการคิดหรือปฏิบัติ โดยเฉพาะเมื่อมีการประยุกต์ความรู้เพื่อสร้างความสามารถ และนำไปปฏิบัติก็จะทำให้เกิดผลประโยชน์

9. การปรับปรุงความรู้ คือ การปรับปรุงย่อมก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดคุณภาพใหม่ในองค์กร ซึ่งเป็นแรงจูงใจให้ผู้บริหารคิดหาแนวทางที่ทำให้การปรับปรุงสามารถตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา

10. การวัดและประเมินผล (Measurement) การวัดผลเพื่อให้ทราบถึงสถานะ ความคืบหน้าและผลที่ได้เป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่ อย่างไร ซึ่งจะช่วยให้องค์กรสามารถทบทวน และปรับปรุงกระบวนการต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
     การประเมินผล (Evaluation) หมายถึง การนำเอาข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้จากการวัดรวมกับการใช้วิจารณญาณของผู้ประเมินมาใช้ในการตัดสินใจ โดยการเปรียบเทียบกับเกณฑ์ เพื่อให้ได้ผลเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง


11. การเก็บรักษาความรู้ (Knowledge Maintenance) หมายถึง กระบวนการทบทวน ความถูกต้อง ความทันสมัยของความรู้ก่อนที่จะนำไปใช้ในระบบฐานความรู้ (Knowledge Base) ขององค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้จากความสำเร็จ (Best Practice) เทคนิควิธีการ (Know-How) ในการแก้ปัญหาต่าง ๆในการทำงาน เพราะสิ่งเหล่านี้สามารถพัฒนาได้จนกลายเป็นภูมิปัญญา (Wisdom) ขององค์กรได้

12. การยกย่องและการให้รางวัล(Recognition and Reword) เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการมีส่วนร่วมของบุคลากรทุกระดับ โดยพิจารณาถึงความสอดคล้องด้านความต้องการของบุคลากร แรงจูงใจระยะสั้นและระยะยาว การบูรณาการกับระบบที่มีอยู่ การปรับเปลี่ยนให้เข้ากับกิจกรรมที่ทำในแต่ละช่วงเวลา